เส้นเลือดในสมองแตก
หรือตีบตัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular
Accident หรือ Stroke)
เป็นภาวะที่สมองขาดเลือดและออกซิเจน
เนื่องจากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก เลือดจึงไม่สามารถไหลเวียนไปยังสมองได้ เมื่อเซลล์สมองถูกทำลายจนเซลล์ตาย
จึงไม่สามารถควบคุมอวัยวะและระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้ทำงานได้ตามปกติ
หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที
อาจลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้มากขึ้น
อาการของเส้นเลือดในสมองแตก
หรือตีบตัน
ลักษณะและความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยแต่ละรายแตกต่างกันออกไปตามสภาพร่างกาย
และขึ้นอยู่กับบริเวณที่เซลล์สมองได้รับความเสียหายด้วย อาการต่าง ๆ
อาจเกิดขึ้นทันทีทันใด หรืออาจใช้เวลาหลายนาทีหรือหลายชั่วโมง ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์
หรือนำตัวส่งแพทย์เมื่อมีอาการที่เป็นสัญญาณของเส้นเลือดในสมองแตก ดังนี้
-
รู้สึกชาตามตัว หรืออวัยวะ แขนขาอ่อนแรง ขยับตัวไม่ได้
หรือเป็นอัมพาตครึ่งซีก
-
ใบหน้าบิดเบี้ยว มุมปากตก น้ำลายไหล กลืนลำบาก พูดลำบาก พูดติดขัด
สื่อสารไม่ได้ สับสนมึนงง และไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นพูด
-
เสียสมดุลการทรงตัวและการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น เดินลำบาก เดินเซ
ขยับแขนขาลำบาก
-
มีปัญหาในการมองเห็น สายตาพร่ามัว มองไม่เห็น เห็นภาพซ้อน
ตาบอดข้างเดียวในทันทีทันใด
-
ในบางรายอาจพบอาการปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน เวียนศีรษะ คลื่นไส้
อาเจียนร่วมด้วย
สาเหตุของเส้นเลือดในสมองแตก
หรือตีบตัน
Ischemic Stroke: เส้นเลือดอุดตัน
ภาวะเส้นเลือดในสมองแตก หรือตีบตัน
เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคหลอดเลือดสมอง พบได้ประมาณ 80%
เกิดจากลิ่มเลือดอุดตันในระบบไหลเวียนโลหิต
หรืออาจเกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ ไม่ยืดหยุ่น
และประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดลดลง ออกซิเจนในเลือดจึงไม่สามารถไปเลี้ยงส่วนต่าง
ๆ ในสมองได้ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
-
Embolic Stroke เกิดลิ่มเลือดในเส้นเลือดตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย
แล้วลิ่มเลือดไหลไปตามกระแสเลือดจนไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง
-
Thrombotic Stroke เกิดจากลิ่มเลือดก่อตัวในหลอดเลือดสมองและขยายใหญ่ขึ้นจนอุดตันหลอดเลือดสมอง
Hemorrhagic Stroke: เส้นเลือดแตก
เส้นเลือดในสมองแตก หรือฉีกขาด พบได้ประมาณ 20% ของโรคหลอดเลือดสมอง
เกิดจากหลอดเลือดมีความเปราะบางร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูง
ทำให้บริเวณที่เปราะบางนั้นโป่งพองและแตกออก หรืออาจเกิดจากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่นจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด
หลอดเลือดจึงปริแตกได้ง่าย ซึ่งเป็นอันตรายมาก
เนื่องจากทำให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลงอย่างเฉียบพลัน
เกิดภาวะเลือดออกในสมอง ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองแตก
หรือตีบตัน ได้แก่
-
ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของโรคหลอดเลือดสมอง
-
มีไขมันในเลือดสูง เพราะมีไขมันสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด
กีดขวางการลำเลียงเลือด ทำให้เกิดหลอดเลือดแข็งทั่วร่างกาย
-
ป่วยด้วยโรคเบาหวาน มีน้ำตาลในเลือดสูง
ทำให้เกิดหลอดเลือดแข็งทั่วร่างกาย
-
การสูบบุหรี่ ใช้ยาเสพติด หรือดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
เพราะนิโคตินและคาร์บอนมอนนอกไซด์ทำให้ปริมาณออกซิเจนลดลง
และเป็นตัวทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็ง
-
ผู้ป่วยหรือบุคคลในครอบครัวเคยมีประวัติเส้นเลือดในสมองแตก
หรือป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง
-
ป่วยด้วยภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง หรือมีไขมันอุดตันในผนังหลอดเลือดแดง
-
ป่วยด้วยโรคหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary
Artery Disease) โรคหัวใจผิดปกติ
หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นสาเหตุของการเกิดลิ่มเลือดที่จะไปอุดตันหลอดเลือดสมองได้
-
การใช้ยาคุมกำเนิด
-
การขาดการออกกำลังกาย
-
อายุมากขึ้น หลอดเลือดจะเสื่อมตามไปด้วย
-
โรคหรือภาวะที่ทำให้เลือดแข็งตัวเร็วกว่าปกติ
ส่งผลให้มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกติ
การวินิจฉัยเส้นเลือดในสมองแตก
หรือตีบตัน
เมื่อผู้ป่วยถูกนำส่งแพทย์
และแพทย์มีข้อสงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีอาการของเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน
จะตรวจวินิจฉัยเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
-
ตรวจร่างกายและทดสอบสมรรถภาพด้านต่าง ๆ เช่น การมองเห็น การพูด
การรับความรู้สึก ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กำลังของกล้ามเนื้อ อาการชาบริเวณต่าง
ๆ และปฏิกิริยาการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
-
ตรวจความดันโลหิต ผู้ป่วยมักมีความดันสูงหากเส้นเลือดในสมองแตก
-
หลังจากนั้น แพทย์จะส่งตรวจเพิ่มเติม
เพื่อบ่งชี้หาตำแหน่งของสมองและหลอดเลือดที่ผิดปกติ
รวมถึงภาวะและสาเหตุที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
หรือภาวะเส้นเลือดในสมองแตก หรือตีบตัน ด้วยวิธีการดังนี้
-
ตรวจเลือด แพทย์จะเจาะเลือดผู้ป่วยเพื่อตรวจหากลไกการแข็งตัวของเลือด
ระดับน้ำตาลในเลือด
หรือการติดเชื้อในกระแสเลือดที่อาจส่งผลให้เกิดเส้นเลือดในสมองแตก
-
ตรวจเอกซเรย์หลอดเลือดสมอง (Angiogram) แพทย์จะฉีดสารย้อมสีเข้าสู่เส้นเลือด
จากนั้นจึงฉายภาพเอกซเรย์ส่วนศีรษะเพื่อหาจุดที่เส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน
-
ตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ใช้รังสีจากเครื่อง CT
Scan ฉายไปยังบริเวณศีรษะ
แล้วสร้างภาพออกมาด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยลักษณะและตำแหน่งที่เส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน
-
ตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI
Scan) การตรวจคล้ายกับ
CT Scan แต่เครื่องจะสร้างภาพจากสนามแม่เหล็กที่ส่งคลื่นไปรอบ
ๆ ตัวผู้ป่วยในขณะตรวจ และภาพที่ออกมาจะมีรายละเอียดที่ชัดเจนกว่า CT
Scan
-
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: EKG) ด้วยการติดขั้วไฟฟ้าบริเวณหน้าอก
แพทย์จะตรวจหาความผิดปกติผ่านทางจอภาพที่แสดงจังหวะการเต้นของหัวใจ
ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดเส้นเลือดอุดตันหรือเส้นเลือดในสมองแตก
-
ตรวจหลอดเลือดใหญ่ที่คอ (Carotid Ultrasound) เป็นการตรวจการไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดบริเวณลำคอที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง
ด้วยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง
-
ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram)
เป็นเทคนิคการใช้คลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงสร้างเป็นภาพหัวใจ
แพทย์จะศึกษาและวินิจฉัยการทำงานของหัวใจจากภาพนั้น
ซึ่งอาจพบความผิดปกติที่เป็นสาเหตุสำคัญของเส้นเลือดอุดตันหรือเส้นเลือดในสมองแตก
การรักษาเส้นเลือดในสมองแตก
หรือตีบตัน
การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง
ว่าเป็นเส้นเลือดในสมองตีบตัน หรือเส้นเลือดในสมองแตก โดยมีแนวทางการรักษาที่แตกต่างกัน
ดังนี้
Ischemic Stroke: เส้นเลือดถูกลิ่มเลือดอุดตันในระบบไหลเวียนโลหิต
ทำให้ออกซิเจนในเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในสมองได้
เป้าหมายของการรักษาคือทำให้เลือดไหลเวียนได้อย่างปกติ
โดยทางเลือกในการรักษามีหลายวิธี ดังนี้
-
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant) เป็นยาที่ช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด
ป้องกันการแข็งตัวของเลือดจนเกิดลิ่มเลือดอุดตันในกระแสเลือด
-
ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet) ขัดขวางการจับตัวกันของเกล็ดเลือด
และการเกาะตัวของเกล็ดเลือดกับผนังหลอดเลือด ซึ่งจะทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน เช่น
แพทย์อาจจ่ายยาแอสไพรินเพื่อป้องกันการเกิดเส้นเลือดในสมองอุดตันซ้ำอีก
-
ยาสลายลิ่มเลือด (Thrombolytic) ช่วยสลายลิ่มเลือดที่ก่อตัวขึ้น
และฟื้นฟูให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ตามปกติ
ซึ่งพบว่ายานี้จะรักษาได้ผลดีกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่รีบมาพบแพทย์ภายในระยะเวลาไม่เกิน
4.5 ชั่วโมงนับจากมีอาการ
อย่างไรก็ตาม
หากเป็นกรณีฉุกเฉินที่ผู้ป่วยเกิดเส้นเลือดอุดตันในสมอง แพทย์อาจฉีดยาเข้าสู่สมอง
หรืออาจผ่าตัดรักษาในบริเวณที่เกิดเส้นเลือดอุดตันในสมองแทน
Hemorrhagic Stroke: เส้นเลือดในสมองแตก ฉีกขาด หรือได้รับความเสียหาย
ทำให้ออกซิเจนในเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในสมองได้
เป้าหมายของการรักษาคือ
ควบคุมปริมาณเลือดที่ออกด้วยการรักษาระดับความดันโลหิต ในกรณีที่เลือดออกมาก
แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเพื่อป้องกันความเสียหายต่อสมองด้วย
ภาวะแทรกซ้อนของเส้นเลือดในสมองแตก
หรือตีบตัน
อาการที่อาจเกิดขึ้นหลังเส้นเลือดในสมองแตก
หรือตีบตัน ซึ่งสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ภายในเวลาหลายสัปดาห์ หลายเดือน
หรืออาจหลายปีให้หลัง ได้แก่
-
มีความยากลำบากในการพูด พูดติดขัด สื่อสารไม่ได้ และกลืนอาหารลำบาก
-
มีความยากลำบากในกระบวนการคิด สับสนมึนงง
และไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นพูด
-
มีปัญหาในการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น เดินลำบาก ขยับแขนขาลำบาก แขนขาชา
หรือเป็นอัมพาต
แต่หากผู้ป่วยได้รับการรักษาล่าช้า
หรือมีอาการรุนแรงและเกิดเส้นเลือดในสมองแตกบริเวณที่สำคัญ ผู้ป่วยอาจเสี่ยงเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
เช่น
-
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างกะทันหัน อาจทำให้เซลล์สมองเกิดความเสียหาย
-
ความดันโลหิตสูง ซึ่งกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปสู่สมอง
ส่งผลกระทบต่อสมองบริเวณที่มีเส้นเลือดแตกให้ยิ่งเกิดความเสียหาย
-
มีไข้สูง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะติดเชื้อ เช่น ปอดอักเสบ
ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ เป็นต้น
-
เกิดลิ่มเลือดอุดตันบริเวณขา
และลิ่มเลือดอาจเคลื่อนตัวไปอุดตันที่ปอดจนเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด (Pulmonary
Embolism)
-
เกิดอาการชัก
-
ความดันในสมองเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้สมองบวม
-
ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (Hydrocephalus) จากของเหลวหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังที่ถูกผลิตออกมามากเกินไป
-
เส้นเลือดสมองบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่มีเส้นเลือดในสมองแตกเกิดการหดเกร็ง
(Vasospasm) อาจทำให้สมองตายจากการขาดเลือด
-
ภาวะโคม่า (Coma) ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัว
ไม่รับรู้ และไม่มีสติ เนื่องจากสมองขาดเลือดและออกซิเจนเป็นเวลานาน
-
อาจเกิดเส้นเลือดในสมองแตกในบริเวณอื่น ๆ เพิ่มอีก
การป้องกันเส้นเลือดในสมองแตก
หรือตีบตัน
เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองแตก
การป้องกันอาการเหล่านี้จึงเกี่ยวเนื่องไปถึงการดูแลระบบไหลเวียนโลหิตและการทำงานของหัวใจให้เป็นไปตามปกติ
เช่น
-
ตรวจความดันโลหิตและควบคุมความดันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสม่ำเสมอ
สำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยารักษาควบคุมความดันโลหิต
ต้องรับประทานยาอย่างถูกต้องเป็นประจำตามคำสั่งแพทย์
-
หมั่นตรวจและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน
-
หากป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรเข้ารับการรักษา รับประทานยา
และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
-
ตรวจหาระดับไขมันในเลือด และควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน
หรือจำกัดปริมาณ
-
ควบคุมน้ำหนักและรูปร่างให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
-
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารจำพวกผักและผลไม้
-
รักษาสุขภาพ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
-
ไม่สูบบุหรี่และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอดี
ไม่ดื่มมากหรือบ่อยจนเกินไป
-
ในบางกรณี
แพทย์อาจจ่ายยาแก่ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
ซึ่งเป็นยาที่ช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด
ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในกระแสเลือด